‘เทนนิส’ เป็นกีฬาที่มีจุดกำเนิดในยุโรป มีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปีและเป็นที่นิยมต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน แต่ด้วยความที่มีภาพลักษณ์ว่าเป็นกีฬาสำหรับชนชั้นสูง จึงทำให้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักในกลุ่มประเทศเอเชียเมื่อเทียบกับกีฬาประเภทอื่น ๆ อย่างเช่น ฟุตบอล หรือแบดมินตัน แต่อีกเหตุผลหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่ค่อยมีคนเล่นเทนนิสเท่าไรนักก็คือ เรื่องของอุปกรณ์นั่นเอง โดยเฉพาะอุปกรณ์หลักอย่างไม้เทนนิส ที่ดูจะซับซ้อน มีราคาแพงและดูยุ่งยากให้การหาซื้อ
ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ สำหรับใครที่สนใจอยากจะเล่นเทนนิส หรือใครที่เป็นมือใหม่พึ่งเริ่มหัด จึงอยากมีไม้เทนนิสดี ๆ ไว้คู่ใจ วันนี้เราพร้อมมาเป็นผู้ช่วยคุณในการเลือกแล้วค่ะ แม้ว่าไม้เทนนิสจะมีมากมายหลายสเปก หลายยี่ห้อ ดูน่าปวดหัวก็ตาม เรามีวิธีการเลือกที่เข้าใจได้ง่าย สามารถนำไปใช้ได้ทันทีมาฝากกันค่ะ รวมไปถึง 10 อันดับ ไม้เทนนิสยอดฮิตในยุคนี้มาแชร์ให้อ่านกันด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการออกกำลังกายให้กับทุก ๆ คนค่ะ
ก่อนจะไปดู 10 อันดับไม้เทนนิสยอดนิยมในปัจจุบัน เรามาดูหลักวิธีการเลือกที่สำคัญกันก่อนดีกว่า อย่าลืมว่า ทุกอย่างมีส่วนกำหนดความสามารถในการควบคุม (Control) และกำลัง (Power) ในการตีเทนนิส ฉะนั้น เราจึงต้องพิจารณาหลายปัจจัยให้ครบถ้วนที่สุดค่ะ
หน้าไม้เทนนิสจะมี 3 ขนาดหลัก ๆ คือ Mid-sized, Midplus และ Oversized เพื่อจะเลือกไม้เทนนิสให้เหมาะสมกับตัวเอง เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่า แต่ละขนาดนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร และเหมาะกับผู้เล่นในระดับไหนบ้าง
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดเล่น (รวมทั้งผู้เล่นที่มีแรงน้อย) แนะนำให้ใช้ไม้ขนาด 105 ตารางนิ้วขึ้นไป เรียกว่าไม้ Oversized ซึ่งเป็นไม้ที่มีขนาดใหญ่ หน้าไม้กว้างมาก ช่วยให้มือใหม่วอลเลย์ง่าย ลดโอกาสตีไม่โดนลูก ตีชนขอบ พื้นที่ส่วน Sweet Spot (ส่วนหน้าไม้ที่เมื่อบอลมากระทบเอ็น แล้วสามารถสร้างแรงสะท้อนกลับได้มากที่สุดและสร้างแรงสั่นสะเทือนน้อยที่สุด) มีความกว้างเหมาะสมในการใช้ฝึกตีมากที่สุด แถมสปินได้โดยไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรมากมาย ทำให้ผู้เล่นมือใหม่ตีได้อย่างมั่นใจที่สุดค่ะ
Midplus คือ ไม้ที่หน้ากว้างไม่เกิน 105 ตารางนิ้ว เหมาะสำหรับผู้เล่นในระดับกลาง สวิงง่าย ควบคุมได้ดี ด้วยหน้าไม้ที่เล็กลงจึงทำให้มีความมั่นคงในการตี ถือว่าเป็นไม้ที่ผู้เล่นส่วนใหญ่เลือกใช้กันเลยค่ะ
ผู้เล่นระดับสูงที่เน้นการควบคุมหน้าไม้ (Control) มากกว่าความแรง (Power) เหมาะกับการใช้ไม้ขนาด Mid-Sized ซึ่งขนาดหน้าไม้จะเล็กไม่เกิน 95 ตารางนิ้ว ช่วยลดการต้านลม สวิงได้ง่าย การแอ่นของเอ็นก็น้อยจึงให้ความมั่นคงในการตีสูง ช่วยให้ควบคุมการตีได้ดีที่สุด
น้ำหนักของไม้เทนนิสโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 285 – 305 กรัม โดยประมาณ หากเบากว่านี้จะถือว่าเป็นไม้เบา และหากหนักกว่านี้ก็จะถือว่าเป็นไม้หนัก แนะนำให้เลือกตามกำลังในการตีของตัวเอง หากพอจะทราบค่าน้ำหนักที่เป็นเป้าหมายแล้ว ให้ลองจับไม้จริงเพื่อตรวจสอบดูก่อน หรืออาจมองหารีวิวจากคนที่น่าจะมีระดับการตีใกล้เคียงกับเราก่อนการตัดสินใจจะดีที่สุดค่ะ
สำหรับผู้หญิงหรือผู้สูงอายุ หรือคนที่อยากได้ไม้เทนนิสที่ตีง่าย ให้เลือกไม้ที่เบากว่า 270 g รับรองว่าถือง่ายเหวี่ยงไม้ได้เร็ว แต่ก็มีข้อเสียที่จะรู้สึกถึงแรงกระแทกได้ง่าย และตีช็อตที่มีพลังไม่ค่อยได้ แต่ถ้าคิดว่าเอาแค่พอให้ตีได้ไกล ๆ ไม้น้ำหนักเบาก็เป็นทางเลือกที่ดีค่ะ
หากต้องการไม้สำหรับใช้แข่งหรือไม้ที่ตีโต้กลับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีพลัง ให้เลือกไม้ที่หนักประมาณ 310 กรัม ด้วยความหนักนี้จะทำให้คุณสามารถปล่อยลูกออกไปได้อย่างมีพลังและไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกมากนัก แม้จะรับลูกที่มีความแรงก็ตาม อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้หญิงและผู้สูงอายุอาจจะรู้สึกหนักจนเหวี่ยงไม้ไม่ถนัด ดังนั้น จึงแนะนำไม้รูปแบบนี้สำหรับผู้ชายหรือคนที่มั่นใจในแรงของตัวเองเท่านั้นไปใช้จะเหมาะสมกว่า
ขอบไม้เทนนิส (Beam) จะมีความกว้างด้วยกัน 3 ระดับ คือ ขอบบาง กลาง และหนา ซึ่งไม้ขอบระดับกลางเป็นชนิดที่ได้สมดุลมากที่สุด ใช้ได้ตั้งแต่ผู้หัดเล่นไปจนถึงผู้เล่นระดับสูง ส่วนไม้ขอบบางและขอบหนามีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไปให้เลือกพิจารณา
ไม้ขอบบาง คือ ไม้ที่มีขอบกว้างประมาณ 17-21 mm สามารถควบคุมบอลได้ดี ทำให้ผู้ตีรู้สึกเหมือนกุมลูกเอาไว้ได้ เหมาะสำหรับคนที่ตีแนว Control หรือตีสปิน มีข้อเสียตรงที่ต้องใช้แรงในการตีค่อนข้างมาก หากผู้เล่นเป็นผู้หญิงหรือผู้สูงอายุอาจจะตีลูกได้ไม่ไกล แต่เหมาะมากสำหรับผู้ชายหรือคนที่แรงเยอะและชอบตีลูกออก
ไม้ขอบกลาง คือ ไม้ที่มีความหนาขอบประมาณ 22-25 mm ถือว่าเป็นขนาดมาตรฐาน หากคุณลองตีด้วยแรงปกติแล้วลูกไปตกอยู่ที่ช่วงเลยกลางคอร์ทของฝ่ายตรงข้ามไปหน่อย ก็ถือว่าความกว้างของไม้ระดับนี้เหมาะกับคุณ แต่ต้องไม่ลืมที่จะลองกะจากแรงในการตีของตัวเองด้วยเช่น ถ้าหากรู้สึกว่าตีแล้วบอลยังพุ่งไกลเกินไปอยู่ ก็ให้เลือกไม้น้ำหนักเบากว่านี้ หรือถ้าตีแล้วลูกไม่ค่อยไป ก็ควรเลือกไม้ที่หนักกว่านี้
ไม้ขอบหนา คือ ไม้ที่มีความกว้างประมาณ 26-30 mm ตัวขอบไม้จะค่อนข้างแข็ง จึงให้แรงสะท้อนที่ดีเหมาะกับการเล่นที่ต้องการ Power และการใช้ไม้แบบขอบหนานี้จะช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากความแรงของลูกจากฝ่ายตรงข้ามในการตีกลับได้ด้วย เรียกได้ว่าเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีแรงเป็นที่สุดเลยค่ะ
รูปแบบการร้อยเส้นเอ็น (String Pattern) ของไม้เทนนิสนั้น มีผลต่อระดับการเล่นด้วยนะคะ โดยทั่วไปแล้ว ไม้เทนนิสจะมีโครงสร้างให้ร้อยเอ็นที่ความถี่แนวตั้ง 16 เส้น × แนวนอน 19 เส้น หากร้อยในระยะห่างกว่านี้จะหมายถึงว่า เป็นไม้ที่เหมาะสำหรับคนหัดเล่น และยิ่งห่างเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ใส่สปินได้ง่ายขึ้นแม้สวิงช้า ๆ แต่ถ้าร้อยตาถี่กว่านี้ หมายถึง ไม้ที่ควบคุมลูกได้ดี เหมาะกับผู้เล่นระดับสูงค่ะ
ด้ามจับ (Grip) ที่จับถนัดมือ สวิงง่าย ถือเป็นจุดสำคัญในการเลือกซื้อเลย โดยทั่วไป ขนาดด้ามจับจะมีตัวเลขที่ระบุขนาด ซึ่งแต่ละประเทศอาจจะมีวิธีเขียนที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะแนะนำวิธีการระบุขนาดแบบที่เรียกกันว่า G1-G4 ค่ะ
เริ่มที่ G1-G2 จะเป็นด้ามจับที่เล็กกว่า เหมาะสำหรับผู้หญิง ส่วน G3-G4 จะเป็นด้านจับที่ขนาดใหญ่กว่า เหมาะสำหรับผู้ชาย ส่วนบางร้านอาจจะระบุขนาดว่า 4 3/8 นั่นหมายถึง การระบุขนาดแบบอเมริกัน โดยจะมีตั้งแต่ 4 นิ้ว ถึง 4 3/4 นิ้ว (ซึ่งมาจากการวัดระยะ จากปลายนิ้วนางถึงเนินฝ่ามือ)
สำหรับด้ามขนาดเล็กจะทำให้เราขยับมือได้ง่าย เหมาะกับการตีลูกหยอด ในทางกลับกัน ด้ามขนาดใหญ่จะทำให้เราจะขยับมือไม่ค่อยได้มาก จึงส่งผลให้เราสามารถตีได้อย่างมั่นคง แต่ทว่า การเลือกไม้นั้นจะต่างกันไปตามแต่ละบุคคล และอาจมีข้อจำกัดว่าไม้เทนนิสรุ่นที่อยากได้ไม่มีขนาดที่เราต้องการ อย่างไรก็ตาม สามารถลองกะขนาดเอาจากที่เราแนะนำไปในตอนต้นแล้วลองจับไม้จริงดู หากคุณกำไม้แล้ว นิ้วนางอยู่ห่างจากฝ่ามือตรงนิ้วโป้งประมาณ 8 mm ก็ถือได้ว่าด้ามนั้นค่อนข้างพอดีกับฝ่ามือคุณ หากไม่มั่นใจ กลัวว่าไม้จะเล็กไป สามารถซื้อ Grip Tape มาพันไม้เพื่อปรับขนาดก็ได้เช่นกันค่ะ
ความรู้สึกในการตีจะต่างกันไปแล้วแต่ว่าไม้เทนนิสไม้นั้นมีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงไหน เรียกง่าย ๆ ว่าบาลานซ์ของไม้ จุดบาลานซ์ของไม้จะอยู่ตรงกลางหรือที่เรียกว่า Even Balance ซึ่งเป็นไม้ที่เหมาะสำหรับทุกคน รวมไปถึงผู้ที่เริ่มหัดเล่นด้วย ไม้ที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่หัวไม้เรียกว่า ไม้หัวหนัก (Head-Heavy) ถือว่าเป็นไม้ Power แม้ตีไม่โดน Sweet Spot แต่ก็สวิงได้อย่างมีพลัง ข้อด้อย คือ จะใช้วอลเลย์ในแบบความเร็วที่ต้องการไม่ค่อยได้ ส่วนไม้ที่บาลานซ์หนักไปทางฝั่ง Grip จะเรียกว่าไม้หัวเบา (Head-Light) ถือเป็นไม้ที่ให้ Power น้อยแต่สามารถควบคุมได้ดี สวิงได้เร็ว
ความยืดหยุ่น หรือ ความแข็งของตัวไม้ (Stiffness) ก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งตัวที่จะกำหนดลักษณะตรงนี้ก็คือ วัสดุที่นำมาทำไม้นั่นเอง ไม้อะลูมิเนียมจะมีความทนทานสูง ราคาไม่แพง เหมาะเอาไว้ซื้อเป็นไม้ตีเล่น ๆ ส่วนไม้คาร์บอนจะมีความแข็งแรงมากกว่า เหมาะกับการเริ่มเล่นเทนนิสในสนาม ส่วนไม้ทังสเตนหรือไม้ไทเทเนี่ยม กราไฟท์เหมาะกับการใช้เป็นไม้แข่ง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเล่นเทนนิสอย่างจริงจัง ดังนั้น ก่อนการซื้อจึงต้องพิจารณาวัสดุให้ตรงกับการใช้งานของตัวเองด้วย
เมื่อทราบวิธีการเลือกกันแล้ว ตอนนี้เราจะพาไปดูไม้เทนนิสที่เป็นรุ่นขายดี 10 อันดับ จากหลาย ๆ ประเทศกันเลยดีกว่า ลองหาไม้ที่เหมาะกับตัวเองดูกันได้เลยค่ะ
เป็นไม้เทนนิสที่รับรองว่างานดี แถม Osaka Naomi นำไปปรับเป็นไม้ของตัวเองในตอนแข่งครั้งที่เธอเอาชนะ Serena Williams จนได้เป็นแชมป์ US Open ที่มีเชื้อสายเอเชียคนแรกและได้ขึ้นเป็นนักเทนนิสหญิงอันดับหนึ่งของโลกในยุคนั้น
ไม้รุ่นนี้มีกำลัง Power มาก ด้วยการนำเทคโนโลยี ISOMETRIC มาใช้ทำให้ Sweet Spot เพิ่มขึ้น 7 % ทำให้เล่นได้แม่นยำขึ้น ถือเป็นไม้ที่ทำหน้าที่เสิร์ฟได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะแบบ Spin เพราะให้พลังการตีที่หนักเลยทีเดียว ทั้งยังใช้วัสดุกราไฟต์ที่แข็งแรงกว่าปกติ จึงเพิ่มความแรงและความเร็วของลูก เหมาะสำหรับคนที่รู้จักการตีของตัวเองดี เช่น ผู้เล่นระดับกลางถึงระดับสูง
ไม้เทนนิสไลน์ Blade ที่เห็นนักกีฬาหลาย ๆ คนใช้ในการแข่งแกรนด์สแลมรวมถึง Karen Khachanov, Serena Williams รุ่นนี้ได้ปรับให้น้ำหนักเบาขึ้นเพื่อให้คนทั่วไปใช้ง่ายขึ้น และนำเทคโนโลยี Countervail (CV) เข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อช่วยลดแรงสั่นสะเทือนถึง 30% จึงให้ความรู้สึกในการตีที่ยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ ด้วยความที่หน้าไม้ไม่ใหญ่เกินไปและขอบไม้แคบเพียงแค่ 20.6 มิลลิเมตร จึงทำให้ Control ทิศทางบอลได้ดี ให้แรงส่งอย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้รุ่นนี้จะต้องมีแรงตีมากหน่อย หากจะเล่นแบบ Power เพราะไม้มีแรงน้อยจึงเหมาะกับหนุ่ม ๆ แรงดี ๆ ค่ะ
Novak Djokovic ราชาที่ตกบัลลังก์ไปหลายปี ตอนนี้เค้ามาทวงบัลลังก์อันดับ 1 คืนมาได้แล้ว โดย Djokovic ถือเจ้าไม้เทนนิสของ Head ตัวนี้แหละค่ะเป็นอาวุธ ด้วยความที่เป็นราชาขาโหด ไม้นี้ก็โหดตามราชาค่ะ หนัก (แต่ไม่ถึงกับหนักอึ้ง) หน้าไม้กว้างและขอบหนา
นอกจากนี้ ยังเป็นรุ่นที่มีความคล่องตัวสูง (Maneuverability) มี Power สุด ๆ ผสมกับรุ่นใหม่ ๆ ที่พัฒนาให้มีการเพิ่มความแข็งแรงในส่วนคอไม้และ Beam อีกด้วย ถ้าชอบหวดมันส์ ๆ แนะนำให้ใช้เลยค่ะ แต่ต้องเตรียมกำลังแขนและฝึก Control ดี ๆ นะคะ
คงไม่มีใครไม่รู้จัก Roger Federer นักเทนนิสผู้เป็นแชมป์ที่เคยขึ้นอันดับหนึ่งในการแข่งขันต่าง ๆ หลายสมัย ไม้นี้เป็นไม้ล่าสุดที่เค้าใช้เลยค่ะ โดยตัวเค้าเองเป็นผู้ออกแบบร่วมกับทาง Wilson แน่นอนเลยว่า รุ่นนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในรุ่นยอดฮิต
เป็นอีกรุ่นที่ทางแบรนด์พยายามเน้นเรื่องน้ำหนักที่เบาขึ้น แต่ให้พลังที่มากขึ้น โดยบาลานซ์แล้วถือเป็นไม้แบบหัวเบา หน้าไม้ที่แคบ 97 ตารางนิ้ว ขอบไม้บาง ด้ามจับออกแบบมาพอดีฝ่ามือ เพื่อเน้นการ Control ลูก มีความนิ่ง (Stability) สูง ทำให้รับบอลได้มั่นคงและแม่นยำ อีกทั้งยังใช้เสิร์ฟแบบ Spinได้ง่าย เรียกได้ว่าเป็นไม้ที่หลายคนใฝ่ฝันอยากมีเก็บไว้เลยค่ะ
แม้ตอนนี้ความบูมจะสู้แบรนด์อย่าง Babolat หรือ Head ไม่ค่อยได้ แต่ Prince ก็เป็นแบรนด์ดีที่น่าเชื่อถือและราคาสมเหตุสมผลค่ะ รุ่นที่แนะนำนี้เป็นรุ่นที่นักเล่นต่างไว้ใจในประสิทธิภาพกันมายาวนาน รุ่นใหม่พัฒนาขึ้นโดยใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาขึ้น แถมแข็งแรงทนทานเทียบเท่าวัสดุของรถแข่ง Formula 1!
รุ่นนี้มีขนาดหน้าไม้กว้างถึง 100 ตารางนิ้ว แต่น้ำหนักไม่มากอยู่ที่ 306 กรัม ขอบไม้หนา 20-23 มิลลิเมตร กล่าวคือมี Power แต่ยังสวิงสะดวก คล่องตัวและใช้ง่ายค่ะ เหมาะกับคนเล่นใหม่ ๆ แต่ไม่อยากได้ไม้ใหญ่ระดับ Oversized แล้วก็ยังไม่อยากลงทุนหนัก ๆ ในไม้แรกค่ะ
ไม้เทนนิสของ Dominic Thiem นักเทนนิสชาวออสเตรียที่กำลังมาแรงในตอนนี้ รุ่นนี้หนัก 320 กรัม หน้ากว้าง 98 ตารางนิ้ว ขอบไม้ 21 -23 มิลลิเมตร เป็นไม้ที่ได้รับคำชมจากนักเทนนิสหลาย ๆ ระดับว่าทุกอย่าง “กำลังดี”
มีจุดเด่นในการตีลูกกลับได้อย่างมั่นคงและแม่นยำ ทั้งยังเสริม Power และ Control ในการตีได้อย่างมีประสิทธิภาพและให้ความรู้สึกในการตีที่แน่นแต่นุ่ม รุ่นใหม่มี Sweet Spot ที่ใหญ่ขึ้น ยิ่งทำให้ตีสนุกมากขึ้น โดยเฉพาะรุ่นที่ขึงเอ็นละเอียด 18×20 แต่ก็มีบางคนบอกว่าถ้าอยาก Spin เยอะ ๆ ใช้แบบขึงเอ็น 16×19 จะเหมาะกว่าค่ะ
มาถึงรุ่นที่อยู่ในไลน์ Burn และถือเป็นตัวที่มีน้ำหนักเบาและให้ความคล่องแคล่วที่สุดในไลน์เลย มาพร้อมเทคโนโลยี CV (Countervail) ที่ทำหน้าที่ช่วยลดแรงสั่นขณะตี ลดแรงกระแทกที่ส่งมาถึงแขน เป็นไม้แบบหัวเบาจึงส่งเสริมให้ผู้เล่นเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งทำให้สปินลูกได้ง่าย ควบคุมลูกได้ดี
หน้าไม้อยู่ที่ 100 ตารางนิ้ว มีความหนาและน้ำหนักที่กำลังดีสำหรับคนเล่นใหม่ ๆ ที่กำลังพัฒนาฝีมือ จุดเด่นอีกข้อ คือ ใช้เทคโนโลยี Spin Effect เข้ามาช่วยให้การตีเคลื่อนไหวได้มากขึ้น ลูกหมุนได้มากขึ้น จึงตีท้ายคอร์ทหรือตีสปินได้อย่างสนุก อย่างไรก็ตาม ไม้รุ่นนี้ยังมีข้อติตรงที่ Power อาจจะยังน้อยไปหน่อยในความเห็นของผู้เล่นระดับกลางถึงสูงค่ะ
ใช่แล้วค่ะ นี่เป็นไม้ของ Rafael Nadal, King of Clay ของเรา (เสียดายล่าสุดเพิ่งตกมาอยู่อันดับ 2) แม้เป็นไม้ของแชมป์ แต่สเปกไม่ได้หนักแบบต้องลากไปหรือแลดูใช้ยากแต่อย่างใด น้ำหนัก 318 กรัม/ หน้าไม้ 100 ตารางนิ้ว / ขอบไม้ 23-26 มิลลิเมตร มีกำลัง Power มากและ Spin ได้ดีเยี่ยม แถมยังเสริมพลังด้วย Sweet Spot ที่กว้างกว่าหลาย ๆ รุ่น
รุ่นใหม่ยังมีการปรับโครงสร้างเฟรมเพื่อลดแรงกระแทกต่อแขนอีกด้วย ถือว่าเป็นไม้ที่เหมาะกับคนที่เริ่มตีมาสักพักชินกับ Power และ Control ของตัวเองแล้ว และอยากจะพัฒนาเป็นระดับที่สูงขึ้นโดยลองโฟกัสเรื่องของการ Spin ดูบ้าง
ตามนั้นเลยค่ะ เป็นไม้ที่ฮิตมานาน น้ำหนักเบาเพียง 252 กรัม หน้าไม้แบบ Oversized รับลูกง่าย มี Sweet Spot กว้างแทบจะครอบคลุมทั้งหมดหน้าไม้เลยก็ว่าได้ ทำให้ลูกเด้งไกล ช่วยให้ไม่ต้องใช้แรงเยอะ ทั้ง ๆ ที่เป็นไม้บาลานซ์หัวหนักแต่ยังทำการควบคุมได้ดีค่ะ
ที่สำคัญ ราคาก็เหมาะเจาะน่าซื้อ เป็นสเปกที่ดีต่อใจและดีต่อกระเป๋าสตางค์ของผู้เริ่มสนใจเล่นเทนนิสใหม่ ๆ ด้วย โดยเฉพาะสาว ๆ แนะนำให้มีไว้ครอบครอง รับรองว่าจะช่วยสร้างกำลังใจในการตี ไม่ให้ย่อท้อกันไปง่าย ๆ แน่นอนค่ะ
แม้ว่า Babolat จะให้ Pure Drive เป็นไม้ระดับกลาง ๆ แต่เรียกได้ว่าเป็นไม้ยอดฮิตอันเป็นที่รักของนักกีฬาเทนนิสหลาย ๆ คน ถือว่าติดอันดับต้น ๆ ของทุกชาร์ทเลยก็ว่าได้ ด้วยน้ำหนัก ขนาดของหน้าไม้ และความหนาที่กำลังดี ทำให้ไม้มีประสิทธิภาพทั้งด้าน Power และ Control
รุ่นใหม่มี FSI Power Technology และ String ที่กว้างขึ้น ช่วยเสริมทั้งพลังและความสามารถในการ Spin ให้สูงขึ้นอีกขั้น ส่งเสริมการเสิร์ฟแบบทรงพลังได้อย่างดีเยี่ยม แนะนำให้ใช้ได้ทุกระดับ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ยิ่งคนที่อยากพัฒนาไว ๆ ยิ่งควรลองใช้เลยค่ะ
เห็นอุปกรณ์ช่างน่าซื้อขนาดนี้ ยิ่งเมื่อทราบวิธีการเลือกด้วยแล้ว น่าจะมีใครสนใจมาลองเล่นเทนนิสกันบ้างแล้วใช่ไหมคะ ถ้ายังเขินอยู่ที่จะไปตีที่คอร์ท ลองศึกษาฟอร์มการตีของนักกีฬาจากการแข่งขันแมชต่าง ๆ แล้วซื้อไม้มา Knock board ตีกับกำแพงที่บ้านเลียนแบบฟอร์มไปก่อนก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีนะคะ เพราะการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง มาเริ่มกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่าค่ะ